4 ข้อควรรู้เรื่องประกันภัยยานยนต์ ให้ขับขี่ต่อได้แบบสบายกระเป๋า โดย กรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์
ใกล้ช่วงปีใหม่แบบนี้ เชื่อว่าหลายคนกำลังประสบปัญหาการเงินที่เรียกได้ว่า สิ้นปีเหมือนสิ้นใจ แต่สิ่งหนึ่งที่คงตัดทิ้งไปไม่ได้ ก็คือ ความคุ้มครองสำหรับตนเอง คนที่เรารัก และรถที่เราหวงในยามเกิดอุบัติเหตุ อย่างไรก็ตาม ประกันภัยยานยนต์มีหลากหลายรูปแบบ และการคำนวณค่าเบี้ยประกันภัยก็ขึ้นอยู่กับหลากหลายปัจจัย กรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์ จึงขอแนะนำ 4 ข้อควรรู้ที่จะช่วยให้คุณขับรถต่อได้แบบสบายใจและสบายกระเป๋า
1. เราจะได้รับค่าเบี้ยประกันภัยที่ถูกลง เมื่อระบุชื่อผู้ขับขี่
การระบุชื่อผู้ขับขี่ในกรมธรรม์ช่วยให้เราได้รับเบี้ยประกันภัยที่ถูกลง ในขณะที่การไม่ระบุชื่อผู้ขับขี่ จะทำให้เราต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยในราคาเต็ม โดยปกติแล้ว บริษัทประกันภัยกำหนดให้ระบุชื่อผู้ขับขี่ได้ไม่เกิน 2 คน และต้องเป็นรถยนต์ส่วนบุคคล รถโดยสารส่วนบุคคล หรือรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล เท่านั้น โดยทั่วไปแล้วอัตราเบี้ยประกันภัยจากการระบุชื่อผู้ขับขี่จะขึ้นอยู่กับความเสี่ยงภัยตามอายุผู้ขับขี่ ยกตัวอย่างเช่น บุคคลในช่วงอายุ 18 – 24 ปี ค่าเบี้ยประกันภัยจะถูกลง 5% ในขณะที่ อายุ 36 – 50 ปี ค่าเบี้ยประกันภัยจะถูกลงถึง 15% เป็นต้น ในกรณีที่ช่วงอายุของผู้ขับขี่ทั้ง 2 คนไม่เท่ากัน เบี้ยประกันภัยจะถูกคำนวณจากอายุของผู้ขับขี่ที่น้อยกว่า ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัท
2. ควรศึกษาส่วนลดประวัติดีของบริษัทประกันภัยใหม่
ก่อนทำการโอนย้าย แน่นอนว่าการที่ผู้ขับขี่ไม่เคยมีการเคลมประกันหรือเป็นฝ่ายผิดมาก่อน จะได้รางวัลตอบแทนหรือที่เรียกว่า ส่วนลดประวัติดี (No Claim Bonus) จากบริษัทประกันภัย อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ต้องการย้ายบริษัทประกันภัย ควรจะศึกษาเงื่อนไขส่วนลดประวัติดีของบริษัทประกันภัยใหม่ก่อนทำการโอนย้าย เพราะแม้บริษัทประกันภัยใหม่อาจยินดีที่จะรับโอนผู้ขับที่มีความเสี่ยงน้อย แต่อาจจะไม่โอนตามเงื่อนไขทั้งหมด และทำให้ผู้ขับขี่ได้รับส่วนลดที่น้อยลงกว่าบริษัทเดิมได้
3. ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ
อีกผลประโยชน์ที่ไม่ควรลืม หลายคนอาจยังไม่รู้ว่านอกเหนือจากที่บริษัทประกันภัยจะชดใช้ค่าเสียหายตามที่ระบุในกรมธรรม์แล้ว เรายังสามารถเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถได้อีกด้วยในกรณีที่เราเป็นฝ่ายถูกและรถยนต์เสียหาย โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้กำหนดหลักเกณฑ์ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถไว้ ดังนี้
- รถยนต์ส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง สามารถรับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าวันละ 500 บาท
- รถยนต์รับจ้างสาธารณะไม่เกิน 7 ที่นั่ง สามารถรับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าวันละ 700 บาท
- รถยนต์ขนาดเกิน 7 ที่นั่ง สามารถรับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าวันละ 1,000 บาท
ทั้งนี้ ผู้ขับขี่ควรเตรียมเอกสารระยะเวลาการซ่อมที่ชัดเจน พร้อมสำเนาทะเบียนรถ หรือหลักฐานการเช่ารถ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการเรียกร้องบริษัทคู่กรณีที่เป็นฝ่ายผิด
4. ซ่อมอู่ก็ประหยัดค่าเบี้ยประกันภัยได้เช่นกัน
หากต้องการประหยัดค่าเบี้ยประกันภัย การซ่อมอู่นั้นก็เป็นทางเลือกให้ตัดสินใจได้เช่นกัน เนื่องจากเบี้ยประกันภัยแบบซ่อมอู่จะมีราคาถูกกว่าเบี้ยประกันภัยแบบซ่อมศูนย์บริการไม่น้อยเลย บางกรณีแตกต่างกันถึง 3,000 – 5,000 บาท และด้วยทางเลือกการทำประกันภัยแบบซ่อมอู่ ลูกค้าก็จะได้รับบริการที่ได้มาตรฐาน ไม่ด้อยไปกว่าการเข้าศูนย์บริการเลยทีเดียว การเลือกซื้อประกันภัยยานยนต์ยังมีรายละเอียดอีกมาก กรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์ พร้อมมอบความอุ่นใจ ให้คำแนะนำ และนำเสนอหลากหลายผลิตภัณฑ์จากบริษัทประกันภัยชั้นนำ ใครที่กำลังวางแผนจะซื้อประกันภัยยานยนต์ สามารถเปรียบเทียบและเลือกเบี้ยประกันภัยได้ตามงบที่ www.krungsriautobroker.com และรับคำปรึกษาได้ที่ Facebook Group
สำหรับรถยนต์ : ประกันรถยนต์ โดยกรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์ เปรียบเทียบจริงแค่บอกงบ
สำหรับรถบิ๊ก ไบค์ : ประกันบิ๊กไบค์ โดยกรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์ เปรียบเทียบจริงแค่บอกงบ
- ความคิดเห็น
- Facebook Comments