ดีเอชแอล ทุ่ม 2.7 พันล้านบาท เดินหน้ายกระดับธุรกิจลอจิสติกส์
ในไทย เวียดนาม กัมพูชา และเมียนมาร์
•ดีเอชแอล ซัพพลายเชน เตรียมพัฒนาศูนย์ปฏิบัติงานแห่งใหม่ เพิ่มจำนวนรถบรรทุกขนส่งสินค้า และลงทุนติดตั้งเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย พร้อมสร้างงานอีกกว่า 5,000 ตำแหน่งภายใน 3 ปี
•นำเสนอโซลูชั่นแบบครบวงจรและนวัตกรรมบริการรูปแบบใหม่ เพื่อส่งเสริมการเติบโตแบบข้ามภาคส่วนของธุรกิจลอจิสติกส์ทั้งในไทย เวียดนาม กัมพูชา และเมียนมาร์
บริษัท ดีเอชแอล ซัพพลายเชน จำกัด ผู้ให้บริการลอจิสติกส์ชั้นนำระดับโลก ประกาศการลงทุนจำนวน 2.7 พันล้านบาท (ราว 70 ล้านยูโร) ภายในปี ค.ศ. 2020 เพื่อยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติงานในประเทศไทย เวียดนาม กัมพูชา และเมียนมาร์ ซึ่งนอกเหนือจากการเป็นผู้นำในธุรกิจลอจิสติกส์ของไทยและเวียดนาม ในปัจจุบัน ดีเอชแอล ซัพพลายเชน ยังเป็นบริษัทผู้ให้บริการลอจิสติกส์ที่ต่างชาติถือหุ้น 100% รายแรกและรายเดียวที่ได้รับใบอนุญาตให้ลงทุนในระยะยาวในประเทศเมียนมาร์ในเดือนที่ผ่านมา และยังมีแผนการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจในกัมพูชาเป็นเป้าหมายต่อไป สำหรับแผนธุรกิจในช่วง 3 ปีข้างหน้า บริษัทมีแผนการพัฒนาศูนย์ปฏิบัติงานแห่งใหม่ เพิ่มจำนวนรถบรรทุกสินค้า และลงทุนติดตั้งเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย พร้อมสร้างงานใหม่อีกกว่า 5,000 ตำแหน่ง ในตลาดเป้าหมายทั้งสี่ประเทศ
การลงทุนครั้งนี้ของดีเอชแอลยังตอบสนองความต้องการในหลาย ๆ ด้านของประเทศไทยที่กำลังเติบโต รวมถึงภาวะเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศที่คาดว่าจะกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากรัฐบาลไทยมีการลงทุนกับโครงการระดับเมกะโปรเจ็คต์หลายโครงการ ได้แก่ การยกระดับโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน โครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) แผนการขยายท่าอากาศยาน และอื่น ๆ ซึ่งล้วนดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศให้เข้าสู่ประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
ผลการวิจัยของธนาคารกสิกรไทย1 ระบุว่าในปี ค.ศ. 2017 มูลค่าของธุรกิจการขนส่งทางบก และคลังสินค้าของไทยจะมีอัตราเติบโตราว 5-7% โดย มร.เควิน เบอร์เรลล์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจประเทศไทย ดีเอชแอลซัพพลายเชน อธิบายว่า “ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เราลงทุนทั้งในส่วนคลังสินค้าและการขนส่งในประเทศไทย ผสานกับความสามารถในการนำเสนอโซลูชั่นแบบครบวงจรที่ดีเยี่ยมแก่ลูกค้าของเรา เราจะสามารถเพิ่มมูลค่าของบริการได้อย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างให้ดีเอชแอลมีความโดดเด่นกว่าผู้ให้บริการรายอื่นในตลาดมีการคาดการณ์ว่าการเติบโตด้านเศรษฐกิจของประเทศไทยจะเป็นการเติบโตแบบต่อเนื่อง โดยเราพร้อมที่จะให้การบริการลอจิสติกส์แบบครบวงจรแก่บริษัทข้ามชาติที่จะมาลงทุนในประเทศ”
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ดีเอชแอล ซัพพลายเชน ประเทศไทย ได้ย้ายสำนักงานใหญ่มายังอาคาร จี ทาวเวอร์ ซึ่งตั้งอยู่ในย่านธุรกิจ ใจกลางกรุงเทพฯ บนถนนพระราม 9 การย้ายสำนักงานครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งสู่การปรับปรุงคุณภาพของบริการที่มีรางวัลรองรับของดีเอชแอล ตลอดจนยกระดับความเชี่ยวชาญเชิงลึกในบริการเพิ่มมูลค่าสำหรับการนำเสนอโซลูชั่นการจัดการด้านซัพพลายเชนแบบครบวงจร เพื่อมอบบริการที่ดียิ่งขึ้นทั้งสำหรับลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ โดยในปัจจุบัน
ดีเอชแอลมีชื่อเสียงในฐานะผู้ให้บริการลอจิสติกส์อันดับ1ในประเทศไทยซึ่งมีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ เพียบพร้อมด้วยคลังสินค้ากว่า 70 แห่งที่มีพื้นที่กว่า 650,000 ตร.ม. พร้อมการสนับสนุนจากพนักงานผู้ทุ่มเทกว่า 10,000 คน นอกเหนือจากทรัพยากรบุคคลที่มีความรู้ความสามารถแล้ว ดีเอชแอลยังนำระบบอัจฉริยะมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการปฏิบัติงานให้ดียิ่งขึ้นทั้งในส่วนคลังสินค้าและการขนส่ง อาทิ ระบบการทำงานอัตโนมัติและวิทยาการหุ่นยนต์ รถยกสินค้าแบบไร้คนขับ ระบบหยิบสินค้าแบบวิชั่นพิกกิ้ง ศูนย์ปฏิบัติการควบคุมการขนส่งและระบบเทเลมาติกส์
มร.เควิน กล่าวเสริมว่า “ดีเอชแอลให้การบริการที่ครอบคลุมตลอดกระบวนการซัพพลายเชนที่เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะของแต่ละภาคธุรกิจ ซึ่งมีทั้งการบริหารจัดการคลังสินค้า และการขนส่งเพื่อธุรกิจหลากหลายประเภท ความเชี่ยวชาญด้านโซลูชั่นการจัดการด้านซัพพลายเชนแบบครบวงจร และบริการด้านการบริหารงานเต็มรูปแบบ โดย ดีเอชแอล ซัพพลายเชน นำเสนอโซลูชั่นที่มีมาตรฐานระดับโลก คุ้มค่าต่อการลงทุน เปี่ยมด้วยคุณภาพระดับสูง และใช้นวัตกรรมสมัยใหม่ ที่เหมาะสมกับทุกภาคธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น ภาคอุตสาหการ พลังงานและเคมี รวมถึง สินค้าเพื่อสุขภาพเรามุ่งมั่นสนับสนุนลูกค้าด้วยการส่งมอบบริการและนวัตกรรมเพื่อการดำเนินงานที่ดีเยี่ยม ครอบคลุมตลอดกระบวนการซัพพลายเชน เพื่อยกระดับให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางลอจิสติกส์ระดับพรีเมียร์ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจะเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความเจริญเติบโตทางธุรกิจในตลาดที่เราเป็นผู้นำด้านลอจิสติกส์ อาทิ ไทยและเวียดนาม และเน้นการลงทุนในตลาดที่เป็นเป้าหมายต่อไป ซึ่งก็คือเมียนมาร์และกัมพูชา”
ดีเอชแอล เป็นผู้เชี่ยวชาญในภาคธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีก สินค้าอุปโภคบริโภค ยานยนต์ เทคโนโลยี และอุตสาหการ บริษัทยังมุ่งเน้นการลงทุนเพื่อการวิจัยแนวโน้มทางธุรกิจ การพัฒนาโซลูชั่น และเพื่อสร้างความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพ บริษัทยังได้เชื่อมโยงลูกค้า สถาบันวิจัยและสถาบันการศึกษา หุ้นส่วนธุรกิจ และผู้เชี่ยวชาญด้านลอจิสติกส์ ให้มาร่วมสร้างสรรค์บริการที่จะช่วยยกระดับกระบวนการซัพพลายเชนแบบครบวงจร เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดที่แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องด้านลอจิสติกส์ทั่วภูมิภาค