กลุ่มบริษัทเอไอเอ ประกาศผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในไตรมาสที่ 3 ปี 2560
ด้วยมูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 20
(ฮ่องกง, 20 ตุลาคม 2560) กลุ่มบริษัทเอไอเอ จำกัด (รหัสตลาดหลักทรัพย์: 1299) ประกาศผลการดำเนินงานด้วยมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ประจำไตรมาสที่ 3 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2560
จุดเด่นผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3
• มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 เป็น 824 ล้านเหรียญสหรัฐ
• เบี้ยประกันภัยใหม่รับปีแรก (ANP) เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เป็น 1,367 ล้านเหรียญสหรัฐ
• อัตรากำไรของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB margin) เพิ่มขึ้น 8.4 จุด คิดเป็นร้อยละ 59.1
• เบี้ยประกันภัยรับรวม (TWPI) เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เป็น 6,534 ล้านเหรียญสหรัฐ
สรุปสาระสำคัญทางการเงิน
มร. อึง เค็ง ฮุย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทเอไอเอ กล่าวว่า “กลุ่มบริษัทเอไอเอมีความยินดีอย่างยิ่งที่จะประกาศผลประกอบการที่ดีเยี่ยมในไตรมาสที่ 3 โดยมีอัตราการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 เป็น 824 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่ยอดเยี่ยมในปีนี้ และสามารถสะท้อนให้เห็นถึงโอกาสในการเติบโตของกลุ่มบริษัทเอไอเอได้อย่างโดดเด่น รวมทั้งความแข็งแกร่งของธุรกิจ และการนำเอากลยุทธ์มาปฏิบัติจนประสบความสำเร็จ”
“การเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียมีแรงขับเคลื่อนมาจากการที่มีประชากรจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาทำงานในภูมิภาคนี้ ส่งผลให้รายได้ของคนในภูมิภาคเอเชียสูงขึ้น และมีสัดส่วนประชากรระดับกลาง (Middle-class) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ทำให้ความมั่งคั่งในภูมิภาคมีเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงพฤติกรรมในการใช้จ่ายที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านความต้องการในการประกันชีวิตของคนทั่วทั้งภูมิภาค โดยเอไอเอมีความมุ่งมั่นอย่างที่สุดที่จะช่วยเหลือผู้คนนับล้านให้ได้รับความคุ้มครองและการออมเงินในระยะยาวที่เพียงพอต่อความต้องการ เราอยู่ในตลาดที่มีศักยภาพ และเราได้สร้างทีมงานที่มีความสามารถอันโดดเด่นมาเป็นเวลายาวนาน ทั้งช่องทางการขายและผลิตภัณฑ์ของเรา จนนำไปสู่แบรนด์ที่เป็นผู้นำและความแข็งแกร่งด้านการเงิน”
“ความตั้งใจของเราต่อไปจากนี้ ยังคงเน้นที่จะรักษาและสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน โดยสร้างความแตกต่างให้กับอนาคตของเอไอเอ ผมมั่นใจในทีมงานที่จะสามารถสร้างผลกำไรในอัตราที่สูงได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า พร้อมทั้งส่งมอบผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับผู้ถือหุ้น”
สรุปผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3
เอไอเอ ประเทศจีน ยังคงเป็นตลาดที่มีการเติบโตเร็วที่สุดของเราในไตรมาสที่ 3 โดยการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เป็นผลมาจากผลผลิตของช่องทางตัวแทนที่สูงขึ้น บวกกับจำนวนตัวแทนที่เพิ่มมากขึ้น ผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมนี้เป็นผลโดยตรงจากการดำเนินกลยุทธ์ด้านการสร้างและพัฒนาตัวแทนเต็มเวลาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตัวแทนของเราสามารถให้บริการลูกค้าและตอบสนองความต้องการด้านการเงินของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นในประเทศจีนได้อย่างมืออาชีพ
เอไอเอ ฮ่องกง ยังคงมีอัตราการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เป็นตัวเลข 2 หลัก ในไตรมาสที่ 3 ทั้งนี้ เรายังคงได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในช่องทางตัวแทนและพันธมิตรทาธุรกิจ การเติบโตในกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน รวมถึงอัตราการเติบโตในช่องทางที่ปรึกษาการเงินอิสระสำหรับลูกค้ารายบุคคล ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของเราตามที่ได้ประกาศในผลประกอบการครึ่งปีแรก ผลการดำเนินงานของช่องทางตัวแทนได้รับการสนับสนุนจากการเติบโตของจำนวนตัวแทนที่เพิ่มมากขึ้น และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ซึ่งส่งผลให้อัตรากำไรของมูลค่าธุรกิจใหม่ของเราเพิ่มมากขึ้น
ในประเทศสิงคโปร์ อัตราการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ในไตรมาสนี้สูงขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ของปี 2559 ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตที่แข็งแกร่งของช่องทางตัวแทนทั้งในด้านของผลผลิตของตัวแทนและจำนวนตัวแทนที่เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่อัตราการเติบโตมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ของประเทศไทยลดลงในไตรมาสที่ 3 และเรายังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาช่องทางตัวแทนของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นช่องทางที่เราเป็นผู้นำในตลาด
เอไอเอ มาเลเซีย มีอัตราการเติบโตมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจประกันชีวิตควบการลงทุน (unit-linked) ทั้งในช่องทางตัวแทนและช่องทางธนาคาร ในขณะที่ธุรกิจของเราในประเทศไทยอื่น ๆ ยังคงมีอัตราการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ที่แข็งแกร่งเช่นกัน ด้วยผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมในหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งรวมถึงอินโดนีเซีย เกาหลี และเวียดนาม
เบี้ยประกันภัยใหม่รับปีแรก (ANP) เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เป็น 1,367 ล้านเหรียยสหรัฐ และอัตรากำไรของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB margin) เพิ่มขึ้น 8.4 จุด คิดเป็นร้อยละ 59.1 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 3 ของปี 2559 การเติบโตของอัตรากำไรของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB margin) เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงในด้านโครงสร้างทางประชากรศาสตร์ ผลิตภัณฑ์ และอื่น ๆ ที่มีความหลากหลายขึ้น อัตรากำไรของมูลค่าปัจจุบันของเบี้ยประกันภัยธุรกิจใหม่ (PVNBP) เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาสิ้นสุด ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2560 เปรียบเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 9 โดยมีการเปลี่ยนแปลงด้านบวกในเรื่องของประเภทของผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันสมมติฐานเชิงเศรษฐกิจระยะยาวยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากที่เคยแสดงไว้ในรายงานประจำปี 2559 รวมทั้งวิธีการที่เราใช้ในการรายงานผลการดำเนินงานธุรกิจใหม่ประจำไตรมาสยังเหมือนเดิม
เบี้ยประกันภัยรับรวม (TWPI) เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เป็น 6,534 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ปี 2559
มุมมองด้านเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจมหภาคในภูมิภาคเอเชียยังคงมีความแข็งแกร่งและมีความยืดหยุ่น ในขณะเดียวกันการคลังสาธารณะยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง และภาวะเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับที่ไม่รุนแรง โดยระบบการเงินและการคลังยังคงมีความยืดหยุ่น การบริโภคในประเทศยังคงเติบโตสูงขึ้นแทนที่ระบบอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมและการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมซึ่งนับเป็นแรงผลักดันที่สำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจพร้อมไปกับการเปลี่ยน แปลงเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยธุรกิจการบริการที่เพิ่มมากขึ้นในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก
เอไอเอ ยังคงได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจที่เติบโตในทิศทางบวก และกลยุทธ์ของเรายังคงสอดคล้องกับปัจจัยด้านสังคมและเศรษฐกิจพื้นฐานที่เป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตโครงสร้างทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียในระยะยาวปัจจัยเหล่านี้รวมถึงการเติบโตของจำนวนประชากรในวัยทำงานที่เพิ่มมากขึ้น การเติบโตของสังคมเมือง และรายได้ที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงสวัสดิการสังคมในปัจจุบันที่ยังอยู่ในระดับที่ต่ำ อีกทั้งความคุ้มครองด้านประกันชีวิตของบุคคลยังอยู่ในระดับต่ำเช่นกัน
เรายังคงเชื่อมั่นในศักยภาพในการแข่งขันของเราในเอเชียซึ่งจะสร้างโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจของเราอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคที่ไม่หยุดนิ่งและมีศักยภาพในการเติบโตสูงสำหรับธุรกิจประกันชีวิต
ความผันผวนด้านอัตราแลกเปลี่ยน
เอไอเอได้รับเบี้ยประกันภัยส่วนใหญ่เป็นเงินสกุลท้องถิ่น ซึ่งทำให้สินทรัพย์และหนี้สินของเรามีมูลค่าใกล้เคียงกัน ช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ ในรายงานงบการเงินของกลุ่มที่มีการแปลเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เกิดผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้น เราจึงมีการเปรียบเทียบอัตราการเติบโตจากอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ เว้นแต่ระบุเป็นอย่างอื่น เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนของผลการดำเนินธุรกิจระหว่างปี